แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) เปิดตัว แอลจี มัลติ วี 5 (MULTI V 5) เครื่องปรับอากาศแบบ VRF รุ่นใหม่ล่าสุดจากกลุ่มมัลติ วี ที่ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม โดยแอลจี มัลติ วี 5 มาพร้อมประสิทธิภาพการทำงานและการประหยัดพลังงานที่เหนือชั้น พร้อมมอบความสะดวกสบายสูงสุดแก่ผู้ใช้ ด้วยเทคโนโลยี Dual Sensing Control ที่ตรวจวัดทั้งอุณหภูมิและความชื้นสัมพัทธ์ เพื่อประสิทธิภาพการทำความเย็นและความร้อนที่สม่ำเสมอ รวมทั้งอัลทิเมท อินเวอร์เตอร์ คอมเพรสเซอร์ที่มาพร้อมศักยภาพการทำงานที่เพิ่มขึ้นของหน่วยภายนอก แอลจี มัลติ วี 5 คือที่สุดของโซลูชั่นส์การควบคุมสภาพอากาศที่ตอบสนองทุกความต้องการของผู้ใช้
นายซาง มิน ลี รองประธานบริหารฝ่ายขายและฝ่ายการตลาด ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกกลางและจีน ผลิตภัณฑ์เครื่องปรับอากาศ แอลจี อีเลคทรอนิคส์ กล่าวว่า “เราภูมิใจเป็นอย่างยิ่งกับแอลจี มัลติ วี 5 ระบบปรับอากาศรุ่นใหม่จากโซลูชั่นส์แฟล็กชิพของแอลจี แอลจี มัลติ วี 5 คือระบบ VRF รุ่นที่ 5 ของเรา ซึ่งอัดแน่นด้วยนวัตกรรมเทคโนโลยีเพื่อมอบประสิทธิภาพการประหยัดพลังงานและความสะดวกสบายที่ดียิ่งกว่าเดิม และเพื่อเปิดโอกาสให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีการควบคุมสภาพอากาศได้มากขึ้น แอลจี มัลติ วี 5 ยังช่วยลดค่าใช้จ่ายลงอย่างเห็นได้ชัดและมอบความสะดวกสบายที่เหนือกว่าแก่ลูกค้าของเราทั่วโลก”
เทคโนโลยี Dual Sensing Control
หนึ่งในฟีเจอร์ที่น่าประทับใจที่สุดของแอลจี มัลติ วี 5 คือเทคโนโลยี Dual Sensing Control ซึ่งช่วยให้เครื่องปรับอากาศประเมินสภาพอากาศแม้ในรายละเอียดที่เล็กที่สุด ในขณะที่เครื่องปรับอากาศแบบดั้งเดิมจะตรวจวัดเฉพาะอุณหภูมิ แอลจี มัลติ วี 5 ตรวจวัดทั้งระดับอุณหภูมิและความชื้นสัมพัทธ์ ทั้งภายในห้องและภายนอก เทคโนโลยี Dual Sensing Control ยังมาพร้อมฟังก์ชั่น Comfort Cooling ที่ช่วยคงประสิทธิภาพการทำงานในระดับอุณหภูมิที่ต้องการ เพื่อมอบความสะดวกสบายสูงสุดแก่ผู้ใช้
Ultimate Inverter Compressor
อัลทิเมท อินเวอร์เตอร์ คอมเพรสเซอร์ของแอลจี มัลติ วี 5 มอบประสิทธิภาพ ความน่าเชื่อถือ และความทนทานที่ไม่มีใครเทียบได้ โดยขยายช่วงการทำงานจาก 15 ถึง 150 Hz ในรุ่นที่แล้ว เป็น 10 ถึง 165 Hz ในรุ่นนี้ นอกจากนี้ Smart Oil Management ระบบจัดการน้ำมันอัจฉริยะยังใช้เซนเซอร์เพื่อวัดความสมดุลของระดับน้ำมันในคอมเพรสเซอร์แบบเรียลไทม์ เพื่อลดการจ่ายคืนน้ำมันโดยไม่จำเป็น
พลังงานที่เหนือชั้น
ด้วยนวัตกรรมใบพัดไบโอไมเมติกส์ เครื่องแลกเปลี่ยนความร้อน 4 ด้าน และเทคโนโลยีคอมเพรสเซอร์ใหม่ล่าสุด แอลจี มัลติ วี 5 จึงพร้อมมอบประสิทธิภาพและศักยภาพที่ล้ำหน้า มอบพลังให้หน่วยภายนอกสูงสุดถึง 26 แรงม้าต่อหน่วย โดยการออกแบบใบพัดของรุ่นมัลติ วี 5 ได้รับแรงบันดาลใจจากครีบของปลาวาฬหลังค่อม ซึ่งช่วยเพิ่มการตัดอาการภายในเครื่องทำให้สามารถระบายความร้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สารเคลือบ Ocean Black Fin
สารเคลือบ Ocean Black Fin และระบบ Dual Protection ซึ่งมีความหนาถึง 2 ชั้นและเคลือบทั้ง 2 ด้าน ช่วยปกป้องแอลจี มัลติ วี 5 จากสารกัดกร่อน เช่น ไอเกลือ ทราย และสารอันตรายอื่น ๆ ที่มาพร้อมลมทะเลและมลพิษจากโรงงานอุตสาหกรรม สาร Ocean Black Fin สีดำที่เคลือบเครื่องแลกเปลี่ยนความร้อนไว้จะช่วยไม่ให้น้ำเกาะบนผิวเพื่อป้องกันความชื้นสะสม ความทนทานของตัวเครื่องนั้นช่วยยืดอายุการใช้งานและลดค่าดูแลรักษา และส่งผลให้ผู้ใช้ได้สะดวกสบายกับประสิทธิภาพการทำงานที่ยาวนานกว่าเดิม
ระบบทำความร้อนต่อเนื่อง Continuous Heating
นอกจากนี้ เทคโนโลยียืดระยะเวลาละลายน้ำแข็งและการละลายน้ำแข็งเพียงบางส่วน ซึ่งจะรับข้อมูลผ่านเซนเซอร์ความชื้นจากระบบ Dual Sensing Control ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้โหมดทำ ความร้อนต่อเนื่องหรือ Continuous Heating ด้วยการเพิ่มศักยภาพการทำความร้อนและเพิ่มความสะดวกสบายภายในห้อง ทั้งยังเพิ่มระยะเวลาทำความร้อนต่อวันสูงขึ้นถึง 11 เปอร์เซ็นต์ และลดการใช้พลังงานลดถึง 7 เปอร์เซ็นต์
“เพื่อเจาะตลาดเครื่องปรับอากาศเชิงพาณิชย์ แอลจีได้เตรียมงบประมาณการตลาดกว่า 40 ล้านบาทสำหรับปี 2561 นี้ เราพร้อมมอบโซลูชั่นส์การควบคุมสภาพอากาศอย่างครบวงจร นับตั้งแต่การออกแบบระบบทั้งหมด การเลือกสรรเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับความต้องการ และบริการหลังการขาย โดยทีมผู้เชี่ยวชาญของเราที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ ด้วยฟีเจอร์ของแอลจี มัลติ วี 5 ที่เหนือชั้นและโซลูชั่นส์ที่ครอบคลุมทุกความต้องการ แอลจี ประเทศไทย พร้อมแล้วที่จะบุกตลาดเครื่องปรับอากาศเชิงพาณิชย์ในประเทศไทยอย่างเต็มรูปแบบ” คุณธีระวัฒน์ จูงหัตถการสาธิต ผู้จัดการฝ่ายผลิตภัณฑ์เครื่องปรับอากาศเชิงพาณิชย์ บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวเสริม
แอลจี มัลติ วี 5 วางจำหน่ายแล้วผ่านตัวแทนจำหน่ายแอลจีอย่างเป็นทางการทั่วประเทศ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ แอลจี คอลเซ็นเตอร์ 0-2878-5757 หรือเว็บไซต์ www.lg.com/th
"ไดกิ้น" ผู้นำด้านระบบปรับอากาศเพื่อที่อยู่อาศัยและการพาณิชย์ที่คนทั่วโลกไว้วางใจ ตอกย้ำความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ในประเทศไทยปิดท้ายปี 2559 ด้วยการแนะนำผลิตภัณฑ์เครื่องปรับอากาศใหม่ระบบ Inverter รุ่นซูเปอร์สไมล์ และ ระบบ Non-Inverter รุ่นสแมช ทู รวมถึงเครื่องปรับอากาศสกายแอร์ แบบฝังใต้ฝ้า รุ่น 8-Way Cassette และ แบบแขวนใต้ฝ้า รุ่น FHNQ และเครื่องฟอกอากาศ ไดกิ้น ชูจุดขายนวัตกรรมประหยัดพลังงาน ความเย็น และ ประหยัดพื้นที่ รายละเอียดจะเป็นอย่างไรติดตามได้จาก รายงานพิเศษ ชิ้นนี้
"ยูนิแอร์" เปิดตัวนวัตกรรมทำความเย็นในงาน Bangkok RHVAC 2017
ระหว่างวันที่ 7-10 กันยายนนี้ ที่ศูนย์นิทรรศการและการประชุ
ดร.ณรัณ ศิริสันธนะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ยูนิแอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องปรั
ในส่วนของยูนิแอร์นั้น ได้นำนวัตกรรม"เครื่องทำน้ำเย็
กรรมการผู้จัดการ บริษัท ยูนิแอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวต่อว่า การให้ความสำคัญกับกระบวนการผลิ
สำหรับผลิตภัณฑ์ เครื่องทำน้ำเย็นระบบอินเวอร์
ถือเป็นนวัตกรรมใหม่อีกทางเลื
ทั้งนี้ เครื่องทำน้ำเย็นระบบอิ
นอกจากนี้ ด้วยการออกแบบที่เรียกว่า Modular ทำให้ใช้พื้นที่การติดตั้งน้อย ซ่อมบำรุงง่าย สามารถเพิ่มขนาดการทำความเย็
"เครื่องปรับอากาศ มักถูกมองว่าเป็นผู้ร้าย ในการทำลายสิ่งแวดล้อม จึงเป็นสาเหตุที่เราต้องคิดค้
สำหรับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของยู
ปัจจุบัน บริษัท ยูนิแอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ดำเนินกิจการเข้าสู่ปีที่ 45 นับเป็นแบรนด์เครื่องปรั
กรรมการผู้จัดการ บริษัท ยูนิแอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวต่อว่า สำหรับทิศทางในการดำเนินธุรกิ
เรื่อง ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้เครื่องปรับอากาศที่ใช้สารเอชซีเอฟซี – 22 (สารคลอโรไดฟลูออโรมีเทน) ที่มีขนาดทำความเย็นต่ำกว่า 50,000 บีทียูต่อชั่วโมง เป็นสินค้าต้องห้ามในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้เครื่องปรับอากาศที่ใช้สารเอชซีเอฟซี – 22 (สารคลอโรไดฟลูออโรมีเทน) ที่มีขนาดทำความเย็นต่ำกว่า 50,000 บีทียูต่อชั่วโมง เป็นสินค้าต้องห้ามในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฏหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไป
พณ. เสนอว่า
1. กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) โดยกรมโรงงานอุตสาหกรรม แจ้งว่า ประเทศไทยในฐานะประเทศภาคีสมาชิกตามพิธีสารมอนทรีออลว่าด้วยสารทำลายชั้นบรรยากาศโอโซน ซึ่งประเทศไทยได้ขอรับเงินช่วยเหลือจากกองทุนพหุภาคีภายใต้พิธีสารมอนทรีออลในการดำเนินโครงการลดและเลิกใช้สารไฮโดรคลอโรฟลูออโรคาร์บอน ระยะที่ 1 (HCFCs Phase-out Management Plan Stage I) เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการผลิตเครื่องปรับอากาศในการปรับเปลี่ยนอุปกรณ์กระบวนการผลิต และการเสริมสร้างศักยภาพของผู้ประกอบการในการใช้สารทดแทน ซึ่งตามเงื่อนไขการขอรับเงินช่วยเหลือจากกองทุนพหุภาคีฯ ประเทศไทยจะต้องกำหนดให้เครื่องปรับอากาศที่ใช้สารเอชซีเอฟซี – 22 ที่มีขนาดทำความเย็นต่ำกว่า 50,000 บีทียูต่อชั่วโมง เป็นสินค้าต้องห้ามในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร เพื่อจำหน่ายในประเทศ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2560 เป็นต้นไป
2. เพื่อเป็นการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม การสาธารณสุข การคุ้มครองความปลอดภัยของประชาชนและเพื่อให้เป็นไปตามข้อตกลงของพิธีสารมอนทรีออลว่าด้วยสารทำลายชั้นบรรยากาศโอโซน ซึ่งประเทศไทยในฐานะประเทศภาคีสมาชิกมีพันธะผูกพันที่ต้องปฏิบัติตาม จึงสมควรกำหนดมาตรการเพื่อให้เครื่องปรับอากาศที่ใช้สารเอชซีเอฟซี – 22 (สารคลอโรไดฟลูออโรมีเทน) ที่มีขนาดทำความเย็นต่ำกว่า 50,000 บีทียูต่อชั่วโมง เป็นสินค้าที่ต้องห้ามนำเข้ามาในราชอาณาจักร
สาระสำคัญของร่างประกาศ
กำหนดให้เครื่องปรับอากาศที่ใช้สารเอชซีเอฟซี – 22 (สารคลอโรไดฟลูออโรมีเทน) ที่มีขนาดทำความเย็นต่ำกว่า 50,000 บีทียูต่อชั่วโมง เป็นสินค้าต้องห้ามในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร และให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนด 60 วัน นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 10 ตุลาคม 2560--
อ่านต่อได้ที่ : http://www.ryt9.com/s/cabt/2723526
“ไดกิ้น” ก้าวสู่ยุคสมาร์ทไลฟ์เต็มตัว จับมือการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคสนับสนุนการพัฒนา PEA HiVE Platform สร้างนวัตกรรมใหม่เพื่อบ้านอัจฉริยะและประหยัดพลังงานอย่างแท้จริง
บริษัท สยามไดกิ้นเซลส์ จำกัด ผู้นำนวัตกรรมด้านระบบปรับอากาศไดกิ้น จับมือการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ร่วมพัฒนา PEA HiVE Platform สร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ พัฒนาระบบเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะภายในบ้านก้าวสู่สังคมสมาร์ทไลฟ์เต็มรูปแบบ
ในยุคสมัยที่เทคโนโลยีต่างๆ ก้าวล้ำหน้าไปไกลโดยเฉพาะการสื่อสารผ่านโทรศัพท์สมาร์ทโฟนและอินเทอร์เน็ต ทุกภาคส่วนต้องปรับตัวรับกระแสให้ทันท่วงที เพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายขึ้นของผู้คนในปัจจุบัน ตลอดจนสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ที่จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้งาน สังคม และต่อโลกได้มากที่สุด เช่นเดียวกับไดกิ้น ผู้นำด้านนวัตกรรมระบบปรับอากาศระดับโลกที่ใส่ใจในการอนุรักษ์พลังงานและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งได้พัฒนาระบบปรับอากาศให้ตอบรับกับความก้าวหน้าของเทคโนโลยีและความต้องการที่หลากหลายอยู่เสมอ ฉะนั้นในยุคสมาร์ทไลฟ์ที่ทุกสิ่งทุกอย่างต้องมีความอัจฉริยะ ควบคุมการทำงานได้ง่าย สะดวก และรวดเร็ว รวมถึงเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน ไดกิ้นจึงมีวิสัยทัศน์ที่จะก้าวสู่สังคมแห่งความสมาร์ทอย่างเต็มตัว
สมพร จันกรีนภาวงศ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามไดกิ้นเซลส์ จำกัด ได้กล่าวถึงการพัฒนาไปอีกขั้นของระบบปรับอากาศไดกิ้นว่า “ในอดีตเราควบคุมเครื่องใช้ไฟฟ้าด้วยรีโมทคอนโทรล เมื่อมีสมาร์ทโฟนเข้ามาจึงเริ่มใช้สมาร์ทโฟนในการควบคุมแทน แต่ส่วนใหญ่ยังเป็นการควบคุมในลักษณะ in home กระทั่งปัจจุบันระบบความเร็วและการสื่อสารทางอินเทอร์เน็ตค่อนข้างเสถียร จึงมีการพัฒนาให้สามารถควบคุมในแบบ out of home ได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งการควบคุมอุปกรณ์และเครื่องใช้ไฟฟ้าแบบสมาร์ทจำเป็นอย่างมากต่อการใช้ชีวิตในปัจจุบัน เพราะในสังคมมีความต้องการที่หลากหลายมากขึ้น เช่น ความต้องการในแง่ของการประหยัดพลังงาน ความต้องการในแง่ของความสะดวกสบาย หรือมีความจำเป็นบางประการ ยกตัวอย่างเช่น ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ บ้านที่มีผู้สูงอายุอยู่ด้วย หากมีโรคประจำตัวอย่างอัลไซเมอร์แล้วไม่มีคนดูแลตลอดเวลา ก็สามารถใช้ความสมาร์ทของเครื่องใช้ต่างๆ เหล่านี้ให้เข้ามาดูแลแทนได้ ซึ่งระบบปรับอากาศที่เรามีอยู่ก็สามารถเช็คได้ว่าผู้สูงอายุอยู่ตรงไหนของบ้าน เพื่อเปิดหรือปิดเครื่องปรับอากาศในจุดนั้นๆ ขณะที่เราไม่อยู่บ้านได้ หรือหากลืมปิดเครื่องปรับอากาศก็สามารถปิดได้จากนอกบ้าน นี่คือความจำเป็นในการใช้งานระบบสมาร์ทในอนาคต”
และเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาระบบอัจฉริยะและสมาร์ทโฮมให้เกิดขึ้นจริงในประเทศไทย ล่าสุดไดกิ้นจึงได้ร่วมสนับสนุนงานวิจัยการพัฒนาต้นแบบแพลตฟอร์มระบบบริหารและจัดการพลังงานอัจฉริยะของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA HiVE Platform) สำหรับบ้านพักอาศัย ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มระบบบริหารและจัดการพลังงานไฟฟ้าอัจฉริยะที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคได้ดำเนินการวิจัยและพัฒนา โดยมุ่งเน้นให้มีจุดเด่นด้านการจัดการพลังงานเป็นเลิศสำหรับบ้านพักอาศัยและสอดคล้องกับพลังงานทดแทนที่ผลิตได้ เช่น Solar PV Rooftop เพื่อให้การใช้พลังงานสุทธิของบ้านเป็นศูนย์ (Net-Zero Energy) หรือใกล้เคียง และรองรับการใช้พลังงานในภาวะฉุกเฉิน ซึ่งจะเปลี่ยนบ้านพักอาศัยธรรมดาให้เป็นบ้านอัจฉริยะ (Smart Home) นอกจากนี้ PEA HiVE Platform ยังพัฒนาให้เชื่อมต่อกับเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Appliances) และอุปกรณ์อัจฉริยะ (lOT) ได้อย่างหลากหลาย โดยเปิดให้นักพัฒนาฮาร์ดแวร์และซอฟท์แวร์ได้เข้ามาร่วมพัฒนาอุปกรณ์และแอพพลิเคชั่นให้ตรงความต้องการมากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของไดกิ้นที่มุ่งมั่นจะผลักดันสมาร์ทโฮมให้เกิดขึ้นจริง
“ในส่วนของไดกิ้นเราเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องปรับอากาศทั้งขนาดเล็กและขนาดอุตสาหกรรม ฉะนั้นปัจจุบันเราจึงมีแนวทางที่จะพัฒนาสินค้าให้สามารถสื่อสารกับอุปกรณ์ที่สั่งการในด้านของการควบคุมเครื่องปรับอากาศและในด้านพลังงานอยู่แล้ว จึงได้เข้าไปพูดคุยกับทางการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค จนเห็นว่ามีแนวทางและนโยบายที่สอดคล้องกัน เราเลยยินดีที่จะให้การสนับสนุนในแง่ของอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ ซึ่งจริงๆ มีเครื่องปรับอากาศในโครงการที่วิจัยร่วมกันว่าสามารถที่จะนำแพลตฟอร์มนี้มาสั่งงานฮาร์ดแวร์ของเราได้อยู่แล้ว เพราะปัจจุบันนี้มีหลายภาษาในการสื่อสารกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ฮาร์ดแวร์ของเราก็เป็นอีกหนึ่งภาษาที่ได้นำมาทดสอบร่วมกันและสามารถเข้ากันได้ ซึ่งนับว่า HiVE Platform ของ PEA เป็นอีกหนึ่งแพลตฟอร์มที่จะรวมการสื่อสารที่หลากหลายให้สามารถสื่อสารภายใต้แพลตฟอร์มเดียวกันได้ เพราะฉะนั้นประโยชน์ของผู้ใช้คือ สามารถเลือกซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าจากต่างรุ่น ต่างแบรนด์ ต่างระบบกัน เพื่อนำมาใช้งานร่วมกันได้ภายใต้ HiVE Platform จึงทั้งสะดวก สบาย และประหยัดพลังงานสูงสุด” สมพรกล่าว
นอกจากนี้ในส่วนของระบบปรับอากาศ ผู้บริหารไดกิ้น ยังมองว่าเพียงแค่ความอัจฉริยะทางด้านความเย็นที่ทางไดกิ้นพัฒนาให้เกิดขึ้นจริงแล้วยังไม่เพียงพอ บริษัทยังมองการณ์ไกลไปถึงการเป็นผู้นำด้านการปรับคุณภาพอากาศภายในบ้าน โดยเชื่อมโยงกับการเติมออกซิเจนเข้าสู่ภายใน รวมถึงการฟอกอากาศภายในให้มีความบริสุทธิ์และสะอาดมากขึ้น สามารถสั่งงานให้กำจัดมลพิษได้อย่างทันทีทันใด ซึ่งเป็นทิศทางที่ไดกิ้นต้องการสร้างสรรค์ให้เกิดขึ้นเพื่อให้ทุกบ้านเป็นสมาร์ทโฮมอย่างแท้จริงในอนาคต